ฟลักซ์แม่เหลก็(magnetic...
TRANSCRIPT
บท5 : การเหน่ียวน าไฟฟ้า และวงจรไฟฟ้ากระแสสลบั
ฟลกัซแ์ม่เหลก็ (Magnetic flux)
Φ𝐵 = 𝐵. Ԧ𝐴 = 𝐵𝐴 𝑐𝑜𝑠𝜃
= <T> <m2> = <Wb>
Ԧ𝐴 = 𝐴 መ𝐴 โดย መ𝐴 มีทิศตั้งฉากกับ ระนาบของพื้นที่ และมีทิศพุ่งออกจากผิวที่เราพิจารณาเสมอ เป็นคา่มมุระหวา่ง สนามแมเ่หลก็ 𝐵 กบั መ𝐴
A
A
1บทที่ 5 : 2/2560
2
AB
0A
B
Aa
B
ตวัอยา่ง 5.1 การหาฟลกัซแ์มเ่หลก็Φ𝐵
บท5 : ฟลกัซแ์ม่เหลก็
AB
บทที่ 5 : 2/2560
3
บท5 :แรงเคล่ือนไฟฟ้าเหน่ียวน า (Induced emf)
กฎของ Faraday ก าหนดความสมัพนัธ์ ของแรงเคลือ่นไฟฟ้าเหนี่ยวน า ε และฟลกัซแ์มเ่หลก็Φ𝐵 วา่
ε = −𝑁𝑑Φ𝐵
𝑑𝑡
เครื่องหมาย “-“ แสดงวา่ แรงเคลื่อนไฟฟ้าเหน่ียวน า ε จะเกดิในทศิทางทีต่า้นการเปลีย่นแปลงของฟลกัซแ์มเ่หลก็Φ𝐵
𝑑Φ𝐵
𝑑𝑡=
𝑑 (𝐵𝐴 𝑐𝑜𝑠𝜃)
𝑑𝑡
Φ𝐵 = 𝐵. Ԧ𝐴 = 𝐵𝐴 𝑐𝑜𝑠𝜃
𝑑Φ𝐵
𝑑𝑡= 𝐴 𝑐𝑜𝑠𝜃
𝑑 𝐵
𝑑𝑡+ 𝐵 𝑐𝑜𝑠𝜃
𝑑 𝐴
𝑑𝑡+ 𝐵𝐴
𝑑 cos 𝜃
𝑑𝑡
แรงเคลือ่นไฟฟ้าเหนี่ยวน า ε จะสามารถเขยีนไดใ้หมว่า่ε = −𝑁 𝐴 𝑐𝑜𝑠𝜃
𝑑 𝐵
𝑑𝑡+ 𝐵 𝑐𝑜𝑠𝜃
𝑑 𝐴
𝑑𝑡− 𝐵𝐴 sin 𝜃
𝑑𝜃
𝑑𝑡บทที่ 5 : 2/2560
4
ทิศทางของกระแสไฟฟ้าเหน่ียวน า
S
N
X
Y
Z v
S
N
X
Y
Z v
ตวัอยา่ง 5.2 เคลือ่นแทง่แมเ่หลก็วางตวัอยูใ่นแนวแกน Z โดยขดลวดวางอยูบ่นระนาบ XY ดงัรปูพจิารณาการเปลีย่นแปลงของฟลกัซแ์มเ่หลก็Φ𝐵 ต่อเวลา หรอืสนามแมเ่หลก็B ทีเ่กดิขึน้ทีข่ดลวดจงหาทศิทางของกระแสเหนีย่วน าทีเ่กดิขึน้
A. B.
บทที่ 5 : 2/2560
5
ทิศทางของกระแสไฟฟ้าเหน่ียวน า
S
N
X
Y
Z v S
N
X
Y
Z v
C. D.
บทที่ 5 : 2/2560
บทที่ 5 : 2/2560 6
ทิศทางของกระแสไฟฟ้าเหน่ียวน า
S
N
X
Y
Z
เคลือ่นแทง่แมเ่หลก็นิ่ง ภายในภายในขดลวดดงัรปูขอ้ใดต่อไปนี้กลา่วถงึกระแสเหนีย่วน าทีเ่กดิขึน้ไดอ้ยา่งถกูตอ้ง
1) ตามเขม็2) ทวนเขม็3) ไมม่กีระแสไหล
บทที่ 5 : 2/2560 7
ทิศทางของกระแสไฟฟ้าเหน่ียวน า
Ref: MIT’s handout
กฏมอืขวา : นิ้วโป้ง ชีไ้ปทีท่ศิ A
เป็น + ทศิกระแสเหนี่ยวน าตาม 4 นิ้ว เป็น - ทศิกระแสเหนี่ยวน าสวนทาง 4 นิ้ว
บทที่ 5 : 2/2560 8
ทิศทางของกระแสไฟฟ้าเหน่ียวน า
Ref: MIT’s handout
∅𝑩 d∅𝑩/dt I
+ + - -
- + +
- - + +
+ - -
I เป็น + คือทวนเขม็
ดแูค่ : 𝑑𝐵𝑑𝑡
บทที่ 5 : 2/2560 9
ทิศทางของกระแสไฟฟ้าเหน่ียวน า
x x x
x x x
x x x
x
x
BAreaเพ่ิม x x x
x x x
x x x
x
x
BAreaลด
กระแสตามเขม็
B
Areaลด
บทที่ 5 : 2/2560 10
vI
ทิศทางของกระแสไฟฟ้าเหน่ียวน า
vI
x
x
x
x
x
x
x x
x x
B dB/dt มคีา่ลบ
vI
Iind
A wire loop is pulled away from a current-carrying wire. What is the direction of induced current in the wire loop?
1) ตามเขม็2) ทวนเขม็3) ไมม่กีระแสไหล
บทที่ 5 : 2/2560 11
v
I
A wire loop is pulled in the direction as shown via the picture below. What is the direction of induced current in the wire loop?
1) ตามเขม็2) ทวนเขม็3) ไมม่กีระแสไหล
สนามแมเ่หลก็ แรงแมเ่หลก็ แรงไฟฟ้ากรณีทีแ่ท่งทองแดงมกีารเคลื่อนทีไ่ปยงัขวามอื และมสีนามแมเ่หลก็เขา้สูก่ระดาษ ตัง้ฉากกบัแท่งทองแดง
บทที่ 5 : 2/2560 12
x x x x
x x x x
x x x x
v
B เข้าสู่กระดาษx x x x
x x x x
x x x x
FB
v
x x x x
x x x x
x x x x
+- -
++
v
x x x
x x x
x x x
+- -
++
v
FBE
FE
x x
x x
x x- -
++
v
FBE
FE
l
a
b
𝑉𝑎 − 𝑉𝑏 = 𝐸𝑙 = 𝐵𝑙𝑣
𝐹𝐵 = 𝑞 Ԧ𝑣 × 𝐵
สนามแม่เหลก็ แรงแม่เหลก็ แรงไฟฟ้า
กรณีทีแ่ท่งทองแดงมกีารเคลื่อนทีไ่ปยงัขวามอื และมสีนามแมเ่หลก็ตัง้ฉากกบัแท่งทองแดงเมือ่ปรากฏวา่มปีระจลุบสะสม อยูด่า้นบน และประจุลบสะสมอยูด่า้นล่างถามวา่สนามแมเ่หลก็ควรมทีศิอยา่งไร
+
-
+
-v
บทที่ 5 : 2/2560 13
บทที่ 5 : 2/2560
14
สนามแมเ่หลก็ แรงแมเ่หลก็ แรงไฟฟ้า
Area เพิม่ : -> ε ไดเ้ครือ่งหมาย “-” ( = -Blv)
-> 𝐵𝑖𝑛𝑑 ไดเ้ครือ่งหมายตรงขา้ม ออกจากกระดาษ-> I ไหลทวนเขม็ { ทศิ 𝐹𝐵 = 𝐼(Ԧ𝑙 × 𝐵) }
B
I
I
Ref: MIT’s handout
a
b
I
𝑉𝑎 > 𝑉𝑏
++
--
15
ขนาด ทิศทางของกระแสไฟฟ้าและแรงเคล่ือนไฟฟ้าเหน่ียวน า
ตวัอยา่ง 5.3 แท่งตวัน าอยูบ่นรางโลหะดงัรปู โดยw = 20 cm l = 40 cm และ R = 12 และสนามแมเ่หลก็มคีา่สม ่าเสมอ และคงตวัขนาด B = 1.2 T มทีศิพุง่ออกจากระนาบ ดงัรปู
1. คา่แรงเคลือ่นไฟฟ้าเหนี่ยวน าทีเ่กดิขึน้ในวงจรนี้ มคีา่เทา่ใด2.กระแสเหน่ียวน าทีไ่หลมคีา่เทา่ไรและวนในทศิใด3.ปลายดา้นใดของแทง่ตวัน ามศีกัยไ์ฟฟ้าสงูกวา่ (หรอืเป็นขัว้บวก)
w
l
X-Axis
Y-Ax
is
บทที่ 5 : 2/2560
16
ขนาด ทิศทางของกระแสไฟฟ้าและแรงเคล่ือนไฟฟ้าเหน่ียวน า
ตวัอยา่ง 5.4 แท่งตวัน าอยูบ่นรางโลหะดงัรปู โดยw = 20 cm l = 40 cm และ R = 12 และสนามแมเ่หลก็มคีา่สม ่าเสมอและคงตวัขนาด B = 1.2 T มทีศิพุง่ออกจากระนาบ และมคีา่เปลีย่นแปลงเมือ่เทยีบกบัเวลาเป็น 𝑑𝐵
𝑑𝑡= 2 𝑇/𝑠𝑒𝑐 ดงัแสดงในรปู
1. คา่แรงเคลือ่นไฟฟ้าเหนี่ยวน าทีเ่กดิขึน้ในวงจรนี้ มคีา่เทา่ใด2.กระแสเหน่ียวน าทีไ่หลมคีา่เทา่ไรและวนในทศิใด
w
l
X-Axis
Y-Ax
is
บทที่ 5 : 2/2560
3.ปลายดา้นใดของแทง่ตวัน ามศีกัยไ์ฟฟ้าสงูกวา่ (หรอืเป็นขัว้บวก)
17
ขนาด ทิศทางของกระแสไฟฟ้าและแรงเคล่ือนไฟฟ้าเหน่ียวน า
ตวัอยา่ง 5.5 แท่งตวัน าอยูบ่นรางโลหะไถลไปทางขวามือ ดว้ยความเรว็คงตวั v = 10 cm/s โดยw = 20 cm,
l = 40 cm และ R = 12 และสนามแมเ่หลก็มคีา่สม ่าเสมอ และคงตวัขนาด B = 1.2 T มทีศิพุง่ออกจากระนาบและมคีา่เปลีย่นแปลงเมือ่เทยีบกบัเวลาเป็น 𝑑𝐵
𝑑𝑡= 2 𝑇/𝑠𝑒𝑐
1. คา่แรงเคลือ่นไฟฟ้าเหนี่ยวน าทีเ่กดิขึน้ในวงจรน้ี มคีา่เทา่ใด2.กระแสเหน่ียวน าทีไ่หลมคีา่เทา่ไรและวนในทศิใด
w
l
X-Axis
Y-Ax
is v
บทที่ 5 : 2/2560
18
ขนาด ทิศทางของกระแสไฟฟ้าและแรงเคล่ือนไฟฟ้าเหน่ียวน า
ตวัอยา่ง 5.6 แท่งตวัน าอยูบ่นรางโลหะไถลไปทางซ้ายมือ ดว้ยความเรว็คงตวั v = 10 cm/s โดยw = 20 cm,
l = 40 cm และ R = 12 และสนามแมเ่หลก็มคีา่สม ่าเสมอ และคงตวัขนาด B = 1.2 T มทีศิพุง่ออกจากระนาบและมคีา่เปลีย่นแปลงเมือ่เทยีบกบัเวลาเป็น 𝑑𝐵
𝑑𝑡= 2 𝑇/𝑠𝑒𝑐
1. คา่แรงเคลือ่นไฟฟ้าเหนี่ยวน าทีเ่กดิขึน้ในวงจรนี้ มคีา่เทา่ใด2.กระแสเหน่ียวน าทีไ่หลมคีา่เทา่ไรและวนในทศิใด
w
l
X-Axis
Y-Ax
is v
บทที่ 5 : 2/2560
19
ขนาด ทิศทางของกระแสไฟฟ้าและแรงเคล่ือนไฟฟ้าเหน่ียวน า
ตวัอยา่ง 5.7 เมือ่มกีารเคลื่อนขดลวดไปยงัสนามแมเ่หลก็ จะเกดิการเปลีย่นแปลงแรงเคลื่อนไฟฟ้าเหน่ียวน า εและ ฟลกัซแ์มเ่หลก็Φ𝐵 ทีข่ ึน้กบัเวลาดงัภาพ
v v
A B C D E
tA
B
C
D
E
tA
B
C
D
E
บทที่ 5 : 2/2560
เครื่องก าเนิดไฟฟ้า (Generator)
SN
ตามเข็ม
vC
A
B D
v
B0
C
B
Bv
C
AB
D
l
a
เป็นเครือ่งมอืทีท่ าการเปลีย่นพลงังานกล ใหเ้ป็นพลงังานไฟฟ้า โดยหลกัการของการท างานทีใ่ชก้ารเปลีย่นแปลงของฟลกัซแ์มเ่หลก็Φ𝐵 ต่อเวลาท าใหเ้กดิแรงเคลือ่นไฟฟ้าเหน่ียวน า และกระแสไฟฟ้าเหน่ียวน าจากเครือ่งก าเนิดไฟฟ้า แสดงดงัรปู 5.3
รปู ก แสดงขวดลวดABCD วางตวัอยูใ่นสนามแมเ่หลก็Bทีม่ทีศิจากทศิN ไปยงัทศิ S การหมนุขดลวดในทศิทางตามเขม็นาฬกิาท าใหเ้กดิความเรว็ Ԧ𝑣 บนขวดลวดBC ซึง่ท ามมุ กบัB ดงัรปู ขขดลวด CD และAB ใหแ้รงแมเ่หลก็ (qvB) ไมอ่ยูใ่นแนวเดยีวกบัขวดลวด เมือ่ท าการหมนุขดลวดท ามมุ = 90 องศา ดงัรปู คบนขดลวด BC เกดิแรงแมเ่หลก็F และแรงไฟฟ้า F𝐸เกดิกระแสเหน่ียวน าไหลจากB ไปยงั C ดงัรปู งสว่นขวดลวดDA มทีศิความเรว็ Ԧ𝑣พุง่ลง ท าใหเ้กดิกระแสเหน่ียวน าไหลจากD ไปยงั A แรงเคลื่อนไฟฟ้าเหน่ียวน า ε รวมมคี่า
= Blv sin + Blv sin
ε = ขดลวด BC + ขดลวด DA
= t v = r = (a/2)
ε = 2Bl (a/2) sin t = Bla sin t = BA sin t
โดย A = la เมื่อมีจ านวนขดลวด เท่ากับ N ขด
ε = NBA sin t = 𝜀0 sin t 𝜀0 เป็นค่าแรงเคลี่อนไฟฟ้าเหนีย่วน าที่มีคา่สูงสดุ ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อขดลวดท ามุม 90 องศา หรือ 270 องศา
ก. ข.
ค. ง.
C
AB
D+
I v
IE
-
20
ตัวเหนี่ยวน ำ (Inductor) : L สัญญาลักษณ์
คา่สภาพเหน่ียวน า (Inductance) ของตวัเหนี่ยวน ามคีา่ 𝐿 =𝑁Φ𝐵
𝑖(5.8)
โดยN คอืจ านวนขดลวด สภาพเหน่ียวน ามคีา่ (T.m2/A) หรอื เฮนรี่ (H)
พจิารณาขดลวดโซลนิอยดท์ีม่พีืน้ทีห่น้าตดั A และจ านวนขดลวดต่อความยาวมคีา่ n = N/l สามารถเขยีนไดว้า่ NΦ𝐵 = (nl) BA (5.9)
จากกฎของ Ampere ส าหรับขดลวดโซลินอยด์ที่ยาวมาก ให้ค่าสนามแม่เหล็ก B ที่เกิดขึ้นภายในขดลวดมีค่า
B = 𝜇0𝑖𝑛 (5.10)
โดย 𝜇0 = 4𝜋 × 10−7 < T.m/A > หรือ 𝜇0 = 4𝜋 × 10−7 < H/m >
ท าให้สามารถเขียนค่าสภาพเหนี่ยวน าจากสมการ (5.8) ได้ใหม่ว่า
𝐿 =𝑛𝑙𝐵𝐴
𝑖=
𝑛𝑙 (𝜇0𝑖𝑛) 𝐴
𝑖= 𝜇0𝑛
2𝑙𝐴 =𝜇0𝑁
2𝐴
𝑙(5.10)
บทที่ 5 : 2/2560 21
ตัวเหนี่ยวน ำ (Inductor) : L สัญญาลักษณ์
คา่สภาพเหน่ียวน า (Inductance) ของตวัเหนี่ยวน ามคีา่ 𝐿 =𝑁Φ𝐵
𝑖(5.8)
𝐿 =𝑛𝑙𝐵𝐴
𝑖=
𝑛𝑙 (𝜇0𝑖𝑛) 𝐴
𝑖= 𝜇0𝑛
2𝑙𝐴 =𝜇0𝑁
2𝐴
𝑙
𝐿𝑖 = 𝑁Φ𝐵 𝐿𝑑𝑖
𝑑𝑡= 𝑁
𝑑Φ𝐵
𝑑𝑡
ε = −𝑁𝑑Φ𝐵
𝑑𝑡(กฎของ Faraday)
ε = −𝐿𝑑𝑖
𝑑𝑡แรงเคลือ่นไฟฟ้าเหนี่ยวน ามคีา่
เป็นไปตามกฎของ Lenz กล่าววา่เมือ่มกีารเพิม่ขึน้ของกระแส i จะเกดิสภาพเหนี่ยวน าตวัเอง (Self-Inductance)
ทีต่่อตา้นการเปลีย่นดงักล่าวเครือ่งหมาย “-“ แสดงการตา้นการเปลีย่นแปลง สว่นแรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวน ามขีนาด L = L di/dt
(5.14)
22บทที่ 5 : 2/2560
กฎของ Lenz
ตวัอยา่ง 5.9 กรณีทีข่ดลวดพนัรอบแท่งเหลก็ เมือ่ใหก้ระแสไหลไปยงัขดลวดท าใหเ้กดิมสีนามแมเ่หลก็ B
ทีเ่กดิขึน้ดงัรปู (ตามกฎน้ิวโป้งทศิของกระแส และนิ้วทัง้สีแ่ทนทศิของสนามแมเ่หลก็) จากขวาไปซา้ยต่อมามกีารเปลีย่นแปลงกระแสมคีา่เพิม่ขึน้เมือ่เทยีบกบัเวลา ตามกฎของ Lenz สมการ (5.14)
จะเกดิแรงเคลื่อนไฟฟ้าเหน่ียวน ามทีศิทางตรงกนัขา้ม แสดงดงัรปู 5.4 ขในทางตรงกนัขา้มเมือ่กระแสมคีา่ลดลง แรงเคลื่อนไฟฟ้าเหน่ียวน าจะเกดิในทศิทางเพือ่ลดการไหลของกระแส ดงัรปู 5.4 ค
I เพิม่ขึน้
L
i ต้านB ต้าน
I ลดลง
L
II
B
รปู 5.4 ก รปู 5.4 ข รปู 5.4 คบทที่ 5 : 2/2560 23
24
กฎของ Lenz
ตวัอยา่ง 5.10 กรณีต่อขดลวดพนักบแทง่เหลก็และตอ่เขา้กบัตวัตา้นทาน R ดงัรปู 5.5
จากนัน้วางแทง่แมเ่หลก็ไวท้างซา้ยมอืของขดลวดดงักลา่ว เมือ่มกีารเคลือ่นทีแ่ทง่แมเ่หลก็ ก)
ไปทางซา้ย ข) ไปทางขวามอื จงหาทศิทางของกระแสทีต่วัตา้นทาน
S N
v
R
B
S N
v
R
ท่ีขดลวดลดลง
R
Iรปู 5.5 ก
(เฉลย)
บทที่ 5 : 2/2560
25
ตัวเหนี่ยวน ำ (Inductor) : L สัญญาลักษณ์
การน าตัวเหนี่ยวมาต่อกันแบบอนุกรม L1 L2
=
L = L L + 21
การน าตัวเหนี่ยวมาต่อกันแบบขนาน
L1
L2
=
_L1 _
L1 _
L1
+21
บทที่ 5 : 2/2560
ตัวเหนี่ยวน ำ (Inductor) : L สัญญาลักษณ์ ตวัอยา่ง 5.11 เมือ่ขดลวดโซลนิอยดม์จี านวน 200 ขดมคีวามยาวของขดลวดเป็น 20 cm
และมพีืน้ทีห่น้าตดัเทา่กบั 4.00 x 10-4 m2
ก. จงหาค านวณคา่สภาพเหนี่ยวน า L ของขดลวดดงักลา่วข. เมือ่กระแสในขดลวดมอีตัราลดลงเทา่กบั 10.0 A/s จงค านวณหาคา่แรงเคลือ่นไฟฟ้าเหนี่ยวน าของขดลวดโซลนีอยด์
𝐿 =𝑛𝑙𝐵𝐴
𝑖=
𝑛𝑙 (𝜇0𝑖𝑛) 𝐴
𝑖= 𝜇0𝑛
2𝑙𝐴 =𝜇0𝑁
2𝐴
𝑙(5.10)
โดย 𝜇0 = 4𝜋 × 10−7 < H/m >
𝐿 =)4𝜋 × 10−7 < Τ𝐻 𝑚 > 2002 (4.00 × 10−4 𝑚2
20 × 10−2 𝑚= 0.1 mH
แรงเคลือ่นไฟฟ้าเหนี่ยวน า ε = −𝐿𝑑𝑖
𝑑𝑡(5.14)
ε = −0.1 × 10−3𝐻 (−10 𝐴/𝑠) = 1 𝑚𝑉
บทที่ 5 : 2/2560 26
ตัวเหนี่ยวน ำ (Inductor) : L สัญญาลักษณ์
ตวัอยา่ง 5.12 น าขดลวดโซลนิอยดจ์ากตวัอยา่ง 5.11 มาตดัครึง่ น าขดลวดทัง้สองมาต่อกนัก) แบบอนุกรม และ ข) แบบขนาน จงหาคา่สภาพเหนี่ยวน า L ของขดลวดดงักลา่ว
𝐿 =𝑛𝑙𝐵𝐴
𝑖=
𝑛𝑙 (𝜇0𝑖𝑛) 𝐴
𝑖= 𝜇0𝑛
2𝑙𝐴 =𝜇0𝑁
2𝐴
𝑙(5.10)
โดย 𝜇0 = 4𝜋 × 10−7 < H/m >
20 cm
กลายเป็น 10 cm
L1 L2
10 cm
𝐿1 = 0.05 𝑚𝐻 𝐿2 = 0.05 𝑚𝐻 𝐿ขนาน = 0.025 𝑚𝐻 27บทที่ 5 : 2/2560
28
ตัวเหนี่ยวน ำ (Inductor) : L สัญญาลักษณ์
ตวัอยา่ง 5.13 เมือ่ขดลวดโซลนิอยดม์คีา่สภาพเหนี่ยวน า L = 0.25 mH มคีวามยาวของขดลวดเป็น 25 cm และมพีืน้ทีห่น้าตดัเทา่กบั 4.00 x 10-4 m2 จงหา
ก. จ านวนรอบต่อความยาว n
ข. เมือ่แรงเคลือ่นไฟฟ้าเหนี่ยวน ามคีา่ -12.5 mV การเปลีย่นแปลงของกระแสต่อเวลามคีา่เทา่ไร
(1410 รอบ/m) และ (50 A/s)บทที่ 5 : 2/2560
29
วงจร RL มกีารต่อกบัแรงดนัไฟฟ้า ดงัรปู 5.7ก) ถา้ในวงจรมเีฉพาะ R กระแสจะมกีารเพิม่ขึน้อยา่งรวดเรว็จนกระทัง่มคีา่ 𝜀
𝑅แต่เป็นเพราะแรงเคลื่อนไฟฟ้าเหน่ียวน า L (= -L di/dt) ตามกฎของ Lenz ตา้นการเพิม่ขึน้
ของกระแสจาก อตัราการเพิม่ของกระแสในวงจรเริม่จากมคีา่มาก และมคีา่ลดลงเมือ่เวลาผา่นไปจนกระทัง่ di/dt = 0 กระแสในวงจรจงึจะมคีา่ 𝜀
𝑅ในทีส่ดุ
RL
(เพ่ิมข้ึน)i
R
Li
L
L di/dt
รปู 5.7 ก) รปู 5.7 ข)
วงจร RL : การเพ่ิมขึน้ของกระแส (Rising current)
i (t) =𝜀
𝑅(1 – 𝑒
−𝑅𝑡
𝐿 ) (5.18)ค่าคงตัวของเวลาเหนี่ยวน า L = 𝐿
𝑅
บทที่ 5 : 2/2560
30
การเพ่ิมขึ้นของกระแส : วงจร RL
วงจรรปู 5.7 จะมกีระแสไหลตามสมการ 5.18 ท าใหก้ระแสทีไ่หลผา่นตวัตา้นทาน R เกดิแรงดนัไฟฟ้า VR (t) = i(t) R
สามารถแสดงดงัตวัอยา่งรปู 5.8 ก) ขณะเดยีวกนัเกดิแรงดนัไฟฟ้าทีต่กครอ่มตวัเหน่ียวน า VL (t) = L di/dt ดงัรปู 5.8 ข)
ผลรวมของ VR (t) + VL (t) = = 10
2
2
4
6
8
10
VR(โวลท์)
t (ms)4 6 8 2
2
4
6
8
10
VL(โวลท์)
t (ms)4 6 8
รูป 5.8 ก) รูป 5.8 ข)
At t = L
i (t) =𝜀
𝑅(1 – 𝑒
−𝑅𝑡
𝐿 )
i (t = L ) = 0.63𝜀
𝑅2
2
4
6
8
10 i (t)
R
(A)
t (ms)4 6 8
6.3 A= V /R
/R
L
ความตา้นทานในวงจรมคีา่ R = 1 กระแสมคีา่ 6.3 A
บทที่ 5 : 2/2560
31
ตวัเหน่ียวน า ในวงจรการเพ่ิมขึน้ของกระแส : : วงจร RL
RL
t = 0
RL
t ->
วงจร RL เมือ่ t = 0 กระแสไมม่กีารไหลในวงจรเสมอืนวา่ตวัเหนี่ยวน า L ไมม่กีารต่อวงจร
หลังจากที่กระแสไหลในวงจรนานมาก i (t ) = /Rกระแสมคีา่สงูสดุ เสมอืนวา่ตวัเหนี่ยวน า Lปลอ่ยใหก้ระแสไหลผา่นไดอ้ยา่งเตม็ที่
บทที่ 5 : 2/2560
32
การลดลงของกระแส : วงจร RL
กำรลดลงของกระแส (Decaying current) i (t) =𝜀
𝑅𝑒−𝑡
𝜏𝐿 (5.22)
i (t = L ) =𝜀
𝑅(𝑒−1) = 0.37
𝜀
𝑅
2
2
4
6
8
10 i (t)
R
(A)
t (ms)4 6 8
3.7 A
= V /R
/R = Io
L
ที่ t = 0 ms จะได้ i (t=0) = 10/1 = 10 A (ซึ่งมีค่าเท่ากับกระแสในรูป เม่ือ t >> 8 ms) เมื่อ t = L = 2 ms กระแสมคีา่ i (t=L) = 10/1 (0.37) = 3.7 A และเมื่อ t มีค่านานมาก (t ) i () = 0
บทที่ 5 : 2/2560
33
ตัวอย่าง 5.13 จากวงจรการเพิ่มขึ้นของกระแส (Rising current)ข้างล่าง ก) กระแสไหลในวงจร RL มีค่าเท่าไรเมื่อ เริ่มเปิดสวิทช์ (t=0) ข) เมื่อเวลาผ่านไปนานมาก กระแสที่ไหลมีค่าเท่าใด และ แรงดันไฟฟ้าที่ตกคร่อม R1 มีค่าเท่ากับเท่าใด
การลดลงของกระแส : วงจร RL
R1L
R2 = R1
ก. วิธีท า t=0 สามารถเขียนวงจรใหม่ได้ R1L
R2 = R1
R1L
R2 = R1
ข. เมื่อเวลาผ่านไปนานมาก สามารถเขียนวงจรใหม่ได้
iR1 = /(2R1)* R1 = /2 V
แรงดันไฟฟ้าที่ตกคร่อม R1
34
การลดลงของกระแส : วงจร RL
ตัวอย่าง 5.14 จากวงจรการเพิ่มขึ้นของกระแส (Rising current)ข้างล่าง ก) กระแสไหลในวงจร
RL มีค่าเท่าไรเมื่อ เริ่มเปิดสวิทช์ (t=0) ข) เมื่อเวลาผ่านไปนานมาก กระแสที่ไหลมีค่าเท่าใด
L
R
R LR
(ค าตอบ ก. I = /3R ข. I = /2R) บทที่ 5 : 2/2560
บทที่ 5 : 2/2560 35
• วงจร RL เหมอืนกบัวงจร RC(capacitor energy was stored in the E field)
พลังงำนที่สะสมในขดเหนี่ยวน ำ (Energy stored in inductor)
𝑈𝐿 =1
2𝐿𝑖2
The inductor energy is stored in the magnetic field.
𝑈𝐶=𝑞2
2𝐶
𝑞(𝑡)2
2𝐶+
1
2𝐿𝑖(𝑡)2 =
𝑄2
2𝐶พลงังานรวม :
L C
S
36
พลังงำนที่สะสมในขดเหนี่ยวน ำ (Energy stored in inductor)𝑈𝐿 =1
2𝐿𝐼2
วงจร LC (LC Circuits) 𝑈 = 𝑈𝐿 + 𝑈𝐶พลังงานสะสมที่ L และ C
𝑈𝐶=𝑄2
2𝐶
L C
S
UL
UC
t
t
LI2
2
Q2
2C
𝑞 𝑡 = 𝑄0 cos𝜔0𝑡
𝜔0 = 1/ 𝐿𝐶
𝐼 𝑡 = 𝐼0 sin𝜔0𝑡
การเพิ่มและลดของกระแสในวงจร ไม่ได้อยู่ในรูปสมการ exponential อกีต่อไป
L C
SI
วงจร LC เมื่อหยุดการจ่ายพลังงานจากแบตเตอรี่
บทที่ 5 : 2/2560
อปุกรณ์ไฟฟ้าพืน้ฐาน
L
L
dIV L
dt
R
C
qV
C
RV IRตวัตา้นทาน
ตวัเกบ็ประจุ
ตวัเหน่ียวน า
I
C
q
d I
d t
37
แบตเตอรี V
sinV tแหลง่ก าเนิดไฟฟ้ากระแสสลบั
บทท่ี 5 ต่อ
บทที่ 5 : 2/2560
วงจร LC vs มวลท่ีปลายสปริง
LC
kIE B
m
x
22
2
10
d qq
dt LC
22
20
d x kx
dt m
1
LC k
m
cosq q t cosx x t
sindq
I q tdt
sindx
v x tdt
21
2
qU
C
21
2U kx
21
2C
qU
C
21
2PE kx
21
2LU LI
21
2KE mv
38บทที่ 5 : 2/2560
วงจร RLC (Damped Osillation)
I L
S
a b
C
q
R เพิม่ความตา้นทานในวงจร LCdI q
L IRdt C
dq
Idt
2
20
d q dq qL R
dt dt C
2
20
d q R dq q
dt L dt LC “สมการการแกวง่กวดัแบบหน่วง”
“Damping” “Oscillating” q t
t0
I t
tcoseqq 2
t
o
พลงังานรวมจะลดลงเรือ่ยๆเน่ืองจากมกีารท างานทีต่วัตา้นทาน
39บทที่ 5 : 2/2560
แหล่งก าเนิดไฟฟ้ากระแสสลบั
tsinVV
f2 ในประเทศไทย f = 50 Hz
t2cos12
VtsinVV
2222
t2cos12
VVV
22
rms
2
VVrms
ไฟฟ้าในบา้นในประเทศไทย Vrms = 220 V
t0
VrmsV
40บทที่ 5 : 2/2560
ตวัต้านทานในวงจรไฟฟ้ากระแสสลบั
VR และ IR เปลีย่นพรอ้มกนั (เฟสตรงกนั)
RI tsinVV RR
tsinItsinR
V
R
VI R
RRR
tsinVV RR
t0
RV
RI
RV
RIt
tsinR
VI R
R
41บทที่ 5 : 2/2560
บทที่ 5 : 2/2560 42
V(t) = 𝑉0𝑠𝑖𝑛𝜔𝑡
𝑉𝑎 = 𝑉0𝑠𝑖𝑛0 = 0
𝑉𝑏 = 𝑉0𝑠𝑖𝑛45 = 0.71𝑉0
𝑉𝑐 = 𝑉0𝑠𝑖𝑛90 = 𝑉0
𝑉𝑑 = 𝑉0𝑠𝑖𝑛135 = 0.71𝑉0
𝑉𝑒 = 𝑉0𝑠𝑖𝑛180 = 0
𝑉f = 𝑉0𝑠𝑖𝑛270 = −𝑉0
= 𝑉0 sin −90 = −𝑉0
0 90 270
360a e
b c d
f
องศา
V(t)
V0
𝑉0 = (𝑉𝑥)2+(𝑉𝑦)
2
แผนภาพเฟสเซอร์
V sin( t)0
t
V0Vy
Vx
+
b
c
d
e
f
a0V
บทที่ 5 : 2/2560 43
Red Line:
𝑉𝑅= 𝑉0𝑠𝑖𝑛𝜔𝑡 = 𝑉0𝑠𝑖𝑛𝜃
Blue Line: 𝑉𝐵= 𝑉0𝑠𝑖𝑛𝜔𝑡 = 𝑉0sin(𝜃 + 120)
Yellow Line:
𝑉𝑌= 𝑉0𝑠𝑖𝑛𝜔𝑡 = 𝑉0 sin 𝜃 + 240= 𝑉0sin(𝜃 − 120)
แผนภาพเฟสเซอร์
บทที่ 5 : 2/2560 44
ตวัเกบ็ประจใุนวงจรไฟฟ้ากระแสสลบั
VC มเีฟสตามหลงั IC อยู ่90o
I tsinVV CC
tsinCVCVq CCC
sinC CV V t
t0
CV
CI
CVCI
t
C
q
tcosX
VtcosCVq
dt
dI
C
CCCC
0 cosC
C
C
VI t
X
C
1XC
45บทที่ 5 : 2/2560
ตวัเหน่ียวน าในวงจรไฟฟ้ากระแสสลบั
VL มเีฟสน าหน้า IL อยู ่90o
I tsinVV LL LL Idt
dLV
tsinVV LL
t0
LV
LI
LV
LI
t
tcosL
Vdttsin
L
VI LL
L
cosLL
L
VI t
X LXL
L
46บทที่ 5 : 2/2560
ความต้านทานจินตภาพ (Reactance)
ในตวัเกบ็ประจุและตวัเหน่ียวน ำ V และ I ไม่ไดแ้ปรผนัตำมกนั
LXL
C
1XC
“Capacitive Reactance”
“Inductive Reactance”
LX
CX
0
R
47บทที่ 5 : 2/2560
วงจร RLC กระแสสลบั
I C
R
L
tsinVVVV CRL
tsinVC
q
dt
dqR
dt
qdL
2
2
“Forced Oscillation”
tsinII
tsinVV
I มีเฟสต่ำงจำก V ของแหล่งก ำเนิดอยูเ่ท่ำกบั
RVLV
t
CV
V
I 2CL
2
R VVVV
48บทที่ 5 : 2/2560
I C
R
L
tsinII
tsinVV
“ควำมตำ้นทำนเชิงซอ้น” (Impedance)
2CL
22
CL
2
R
2XIXIRIVVVV
2CL
2 XXR
VI
Z
VI
2CL
2 XXRZ R
LX
CX
Z
CL XX
R
XXtan CL
ความต้านทานเชิงซ้อน (Impedance)
49บทที่ 5 : 2/2560
I C
R
L
กระแสในวงจรจะไหลมำกท่ีสุดเม่ือ XL = XC
2CL
2 XXR
V
Z
VI
เรโซแนนซ์ (Resonace)
C
1L
LC
1
เม่ือควำมถ่ีธรรมชำติของวงจรเท่ำกบัควำมถ่ีของแหล่งก ำเนิดเรียกควำมถ่ีนั้นวำ่ “ควำมถ่ีเรโซแนนซ์”
LC
1res
LC2
1fres
I
res 0 50บทที่ 5 : 2/2560
I C
R
L ก ำลงัเฉล่ีย
ก าลงัไฟฟ้า
RIP 2
rmsavg
ท่ีเรโซแนนซ์ power factor = 1 จะมีกำรจ่ำยก ำลงัไฟฟ้ำไดสู้งสุด
cosVIP rmsrmsavg
tsinII
tsinRIRIP 222
R2
I
2
1RIP
2
2
avg
Z
VI rms
rms R
LX
CX
Z
CL XX
Z
RVIR
Z
VIP rmsrms
rmsrmsavg
Z
Rcos “Power factor”
51บทที่ 5 : 2/2560