ระบบขนส่งแนวราบและแนวด ิ่ง...
TRANSCRIPT
ระบบขนส่งแนวราบและแนวดิ่ง
ในอาคาร
โดย : อาจารย์ ดร.อิทธิพล มีผล
สาขาวิชาการบริหารทรัพยากรอาคาร
บันไดเลื่อน (Escalator)
ก่อนจะมาเป็นบันไดเลื่อนนั้น ต้นแบบของบันไดเลื่อนได้ถูกคิดไว้
ต่างๆนาๆ และได้รับการจดสิทธิบัตรครั้ง แรกโดย Nathan
Ames ในปีคศ.1859 Leamon Souder ในปีคศ.1889 Jesse
Wilford Reno และ George A. Wheeler ใน ปีคศ.1892
ต่อมาในปีคศ.1896 Jesse Wilford Reno สามารถสร้าง บันได
เลื่อนที่สามารถทํางานได้จริงตัวแรกของโลก และติดตั้งไว้ที่
นวิยอร์ค โดยเขาเรียกมันว่า Inclined elevator
ประวัติบันไดเลื่อน (ต่อ)
โดยที่มาของชื่อ Escalator นั้น มาจากคําว่า "elevator"
และ "scala" ซึ่งเป็นภาษาลาติน แปลว่า ขั้นบันได โดย
Charles Seeberger ผู้ออกแบบบันไดเลื่อนซึ่งถือเป็น
ต้นแบบของ บันไดเลื่อนในปัจจุบัน สําหรับบันไดเลื่อน
รูปแบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนั้น บันไดแต่ละขั้นจะยึดติดกัน
และมี ล้อเลื่อนขึ้นลงได้ เลื่อนไปตามรางใต้บันได ขั้นบันได
จะเลื่อนลงไปสู่ปลายบันไดข้าง
1. โครงสร้าง (Truss Structure)
2. ลูกขั้น ( ขั้นบันได (Steps) หรือ ชั้นเหยียบ ) และโซ่ลูกขั้น
(Chain Guide)
3. ราวบันได หรือ ราวมือ (Handrail)
4. ลูกกรง (Balustrade)
5. ชุดอุปกรณ์ขับ (Motor Drive )
6. อุปกรณ์ควบคุม (Control Equipment)
7. แผ่นพื้น (floor plate)
องค์ประกอบหลักของ ระบบบันไดเลื่อน ที่สําคัญมีดังต่อไปนี้
โครงสร้าง (Truss Structure)
Handrail
Step
Skirt
Balustrade
Floor Plate
จานเฟืองหลัก
จานเฟืองตัวตาม
หรือรางบังคับล้อ
ความเร็วของบันไดเลื่อน ต้องไม่เกิน 0.5 m/s
ลิฟต์ (LIFT)
ลิฟต์ (LIFT)ความเป็นมาของลิฟต์ ลิฟต์พาหนะโดยสารสําหรับอาคารสูง ที่มีใช้กันอยู่
แพร่หลายในปัจจุบัน มีประวัติก่อกําเนิดมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ หรือเมื่อ
253 ปี ก่อนคริสตกาล โดยผู้ริเริ่มใช้คนแรก คือ อาร์คิมิดีส (Archimedes)
นักปราชญ์ชื่อดังชาวกรีก และใช่เรื่อยมาถึงสมัยอาณาจักรโรมัน
ในประเทศไทย เริ่มมีการนําลิฟต์มาติดตั้งครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 6
โดยการนําเข้าลิฟต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องจักรจากอิตาลีมาติดตั้ง ณ พระที่
นั่งอนันตสมาคมและติดตั้งลิฟต์ที่ขับเคลื่อนโดยแรงคนที่พระที่นั่งวโรภาส
พิมาน พระราชวังบางปะอิน เมื่อมีไฟฟ้าใช้จึงได้เริ่มนําเข้าลิฟต์จาก
ต่างประเทศเพื่อติดตั้งตามหน่วยงานราชการ พร้อมให้การดูแลบํารุงรักษา
อันเป็นที่มาเริ่มแรกของการใช้ลิฟต์ในประเทศ
อ้างอิง : http://mttselevator.blogspot.com
ไทย เรียก ลิฟต์
American เรียก Elevator
อังกฤษ เรียก Lift
เรียกต่างกันอย่างไร
ประเภทลิฟต์ตามการใช้งาน
1. ลิฟต์โดยสาร ใช้สําหรับรับส่งผู้โดยสารทั่วไป
2. ลิฟต์บริการใช้สําหรับโดยสารหรือส่งของ (ตามโรงงาน หรือ โรงแรม)
3. ลิฟต์ดับเพลิง ใช้สําหรับขนส่งผู้โดยสารทั่วไป แต่เมื่อเกิดเพลิงไหม้สามารถให้พนักงาน
ดับเพลิงเข้ามาใช้ได้
4. ลิฟต์พยาบาล ใช้สําหรับขนคนไข้ และ สามารถนําเตียงผู้ป่วยเข้าไปในลิฟต์ได้เพื่อ
สะดวกในการขนย้ายคนไข้
5. ลิฟต์รถยนต์ ใช้สําหรับขนรถยนต์ขึ้นบนตึก ใช้สาํหรับอาคารที่มีทางเข้าแคบ หรืออาคาร
ที่ต้องการความสะดวก และ รวดเร็วในการบรรทุก
6. ลิฟต์ขนของ ใช้สําหรับขนของที่มีขนาด และ นําหนักมาก เพื่อเป็นการสะดวกในการขน
วัสดุและอุปกรณ์ ใช้ตามโรงแรม หรือ โรงงาน
อ้างอิง : www.liftddsi.com
ประเภทของลิฟต์สามารถแบ่งระบบลิฟต์ได้โดยการแยกประเภทของ Diving System แยกได้
เป็น 2 ประเภทดังนี้
1. ไฮดรอลิค (Hydraulic Elevators)
2. สลิงดึง (Traction Elevators)
Hydraulic Drive จะใช้น้อยกว่า Rope Drive จะนิยมใช้กับอาคารที่สูงไม่เกิน
5-6 ชั้น เนื่องจากช้าและราคาแพง แต่ไม่ต้องมีปล่องลิฟต์ข้างบนใช้สําหรับ
อาคารที่ถูกจํากัดความสูง เช่น ริมทะเล และ อาคารที่ทําการปรับปรุง ส่วน
Rope Drive ใช้มากกว่า 90 % แต่มีห้องเครื่องอยู่ที่บนปล่องลิฟต์
ชนิดของลิฟต์แบบสลิงดึง
(TRACTION ELEVATORS)
1. ลิฟต์ที่ไม่ต้องมีห้องเครื่อง (Machine-roomless)
2. ลิฟต์ชนิดไม่มีเกียร์ (Gearless)
3. ลิฟต์ชนิดมีเกียร์ (Geared)
ระบบลิฟต์ที่ไม่มีห้องเครื่อง
ระบบลิฟต์ได้รับการออกแบบสําหรับติดตั้ง
กับอาคารที่มีความสูงตั้งแต่ 2 จนถึง 30 ชั้น โดยใช้ลูก
ล้อที่มีขนาดเล็กกว่าล้อของลิฟต์ชนิดเกียร์และชนิดไม่
มีเกียร์แบบดั้งเดิม ล้อที่เล็กลงนี้ผนวกกับตัวลิฟต์ซึ่ง
ได้รับการออกแบบใหม่ ทําให้มอเตอร์สามารถถูก
ติดตั้งไว้ในช่องลิฟต์ได้โดยตรง และไม่จําเป็นต้องมี
ห้องเครื่องขนาดใหญ่บนหลังคาอีกต่อไป ส่งผลทําให้
ใช้พื้นที่น้อย
อ้างอิง : www.otis.com
ระบบลิฟต์ที่ไม่มีเกียร์
ลิฟต์ชนิดไม่มีเกียร์ สามารถปฏิบัติงานได้ ที่ ความเร็วมากกว่า 500 ฟุตต่อนาที (2.54 เมตรต่อวินาที) สําหรับลิฟต์ชนิดไม่มีเกียร์ ปลายด้านหนึ่งของเชือกลวดแขวนทั้งหมดจะยึดติดกับส่วนบนสุดของตัวลิฟต์ และคล้องผ่านร่องของรอกขับชนิดพิเศษ โดยที่ปลายอีกด้านของเชือกลวดแขวนดังกล่าวจะยึดติดกับน้ําหนักถ่วง ที่วิ่งขึ้นลงตามแนวรางในปล่องลิฟต์ โดยเชือกลวดแขวนทั้งหมดจะถูกแรงดึงที่เกิดขึ้นจากน้ําหนักรวมของตัวลิฟต์และน้ําหนักถ่วงให้อยู่ในร่องของรอกขับ ซึ่งจะทําให้มีแรงฉุดในขณะที่รอกขับลิฟต์มีการหมุนเกิดขึ้น ด้วยเทคโนโลยีนี้ของลิฟต์ชนิดไม่มีเกียร์ได้ทําให้มีตึกสูงระฟ้าเกิดขึ้นเป็นจํานวนมาก
อ้างอิง : www.otis.com
ระบบลิฟต์ที่มีเกียร์
ลิฟต์ชนิดมีเกียร์นี้ มอเตอร์ไฟฟ้าได้ถูกออกแบบ
มาเพื่อขับชุดเกียร์ลดความเร็วรอบที่ใช้ในการหมุนรอกขับ
ลิฟต์ ชุดเกียร์ลดความเร็วรอบจะช่วยให้มอเตอร์ไฟฟ้า
สามารถลดกําลังไฟฟ้า ที่ใช้ ในการหมุนรอกขับลิฟต์
โดยทั่วไปลิฟต์ชนิดเกียร์จะมีความเร็วระหว่าง 350-500
ฟุตต่อนาที (1.7-2.5 เมตรต่อวินาที) และมีน้ําหนักบรรทุก
สูงสุด 30,000 ปอนด์ (13,600 กิโลกรัม) ส่วนชุดเบรกซึ่ง
อยู่ระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้าและชุดเกียร์ลดความเร็วรอบจะ
ถูกควบคุมด้วยไฟฟ้า เพื่อทําให้ลิฟต์สามารถหยุดใน
ระดับชั้นที่ต้องการ
อ้างอิง : www.otis.com
ลิฟต์ชนิดไม่มีเกียร์
(GEARLESS ELEVATORS)
ลิฟต์ชนิดมีเกียร์ (GEARED ELEVATORS)
ลิฟต์ชนิดไม่มีเกียร์
(GEARLESS ELEVATORS)
ลิฟต์ชนิดมีเกียร์ (GEARED ELEVATORS)
องค์ประกอบพื้นฐาน BASIC ELEVATOR COMPONENTS
1. Car
2. Hoistway (Elevator shaft)
3. Machine/Drive system
4. Control system
5. Safety system
อ้างอิง http://www.electrical-knowhow.com
องค์ประกอบพื้นฐาน BASIC ELEVATOR COMPONENTSอ้างอิง www.thyssenkrupp-elevator.com
Car
Hoistway
(Elevator shaft)
Machine/Drive system
Control system
Safety system
วิธีการเลือกใช้ลิฟต์เบื้องต้นอ้างอิง : www.thailandlift.org
จบเหอะ ....
ระบบลิฟต์โดยสารในปัจจุบัน
1. ลิฟต์ที่ไม่ต้องมีห้องเครื่อง (machine-roomless)
2. ลิฟต์ชนิดไม่มีเกียร์ (gearless) และ
3. ลิฟต์ชนิดเกียร์ (geared)
ความเร็วของบันไดเลื่อน ต้องไม่เกิน 0.5 m/s