qm167-รู้หรือไม่ cp cpk pp และ ppk...
DESCRIPTION
สถิติการผลิตเราจะรู้หรือไม่ Cp Cpk Pp และ Ppk ต่างกันอย่างไรTRANSCRIPT
39for Quality Vol.18 No.167
September 2011
Productionfor Quality
ในบทความฉบับที่แล้ว ผู้เขียนได้แนะน�าให้รู้จักการประเมินความสามารถของกระบวนการผ่านค่า Cp ซึง่เป็นดชันทีีน่ยิม
ใช้กันในปัจจุบัน โดยมีสูตรในการค�านวณเป็น อย่างไรก็ตาม การประเมินกระบวนการด้วยค่า Cp เพียง
อย่างเดยีว ยงัไม่เพยีงพอทีจ่ะบอกได้ว่ากระบวนการมคีวามสามารถเป็นอย่างไร เน่ืองจากค่าดังกล่าวเป็นการพิจารณาเฉพาะสัดส่วนของความกว้างของสเปกเปรียบเทียบกับการกระจายตัว โดยยังมิได้พิจารณาถึงต�าแหน่งของข้อมูลว่าอยู่ที่ใด อาจท�าให้เกิดกรณีที่มีค่า Cp เท่ากัน แต่ความสามารถของกระบวนการมีความแตกต่างกันได้ ดังแสดงในรูปที่ 1
วิบูลย์ พงศ์พรทรัพย์
รู้หรือไม่
Cp, C
pk, P
p P
pk
ต่างกันอย่างไร ?
และ
ก) ค่าเฉลี่ยอยู่ตรงกึ่งกลางสเปก
ข) ค่าเฉลี่ยอยู่ระหว่างจุดกึ่งกลางสเปกกับสเปกด้านบน
ค) ค่าเฉลี่ยอยู่ตรงสเปกด้านบน
▲ รูปที่ 1 ข้อมูลเปรียบเทียบกับเสเปกในกรณีต่าง ๆ
LSL USL
X 8 11 = 20 29 32
LSL USL
X 8 17 = 26 32 35
LSL USL
X
8 23 = 32 41
USL-LSL
C
p = ⎯⎯⎯⎯
6σ
Vol.18 N
o.1
67 Septe
mber 2011
40
Production
จากรูปที่ 1 พบว่า ทั้งรูป ก ข และ ค นั้น ต่างก็มีลักษณะของการกระจายที่เหมือนกัน คือ มีค่า σ = 3 จึงได้ 6σ = 18 ในขณะที่ USL-LSL มค่ีาเป็น 24 ท�าให้ค่า Cp = ⎯ = 1.33 เท่ากนัทัง้หมด แสดงว่ากระบวนการทั้ง 3 น่าจะมีความสามารถที่เหมือนกัน
แต่หากลองพจิารณารปูทัง้ 3 อกีครัง้ พบว่า ค่าเฉลีย่ของข้อมลูมีต�าแหน่งที่แตกต่างกันไป โดยในรูปที่ 1-ข และ 1-ค ค่าเฉลี่ยมิได้อยู่ตรงจุดกึ่งกลางสเปกเช่นเดียวกับ 1-ก ท�าให้พื้นที่ส่วนที่ออกนอกสเปกทีแ่สดงถงึสดัส่วนของเสยีมคีวามแตกต่างกนัไปด้วย ซึง่แสดงให้ เห็นว่า ความสามารถของกระบวนการทั้ง 3 กรณีนี้ มีความแตกต่างกัน ดังน้ัน การที่ค่า Cp มีค่าที่เท่ากัน ไม่ได้แปลความว่ากระบวนการมีความสามารถที่เหมือนกันเสมอไป
ดงันัน้ การใช้ Cp ในการประเมนิความสามารถของกระบวนการเพียงล�าพังคงไม่เพียงพอ จึงได้มีการคิดดัชนีชี้วัดขึ้นมาใหม่ โดยพิจารณาถึงต�าแหน่งของข้อมูล นั่นก็คือค่าเฉลี่ย ( x ) ที่เลื่อนไปจากจุดกึ่งกลางสเปกมาร่วมในการประเมิน และเรียกดัชนีตัวนี้ว่า Cpk (k มาจากภาษาญี่ปุ่นค�าว่า katayori หมายถึง ความเบี่ยงเบน เลื่อนไป) โดยมีสูตรดังนี้
จากสตูรจะเหน็ได้ว่า การหาค่า Cpk เป็นการพจิารณาถงึความห่างของค่าเฉลี่ยกับสเปกทั้ง 2 ด้าน เปรียบเทียบกับการกระจายตัวของข้อมูล และเลือกค่าที่มีค่าน้อยกว่าเป็นค่า Cpk เนื่องจากค่าที่น้อยกว่าแสดงให้เห็นถึงปัญหาที่เกิด ตัวอย่างเช่น จากรูป 1-ข หากพิจารณาค่าเฉลี่ยเทียบกับสเปกด้านบน จะได้
แต่หากพิจารณาค่าเฉลี่ยเทียบกับสเปกด้านล่างจะได้
จากการค�านวณ พบว่า ค่า Cpu มีค่าต�่ากว่า Cpl แสดงว่ามีสัดส่วนของเสียในฝั่งที่เกินสเปกด้านบนมากกว่าเกินสเปกด้านล่าง ซึ่งตรงกับรูป 1-ข ดังนั้น ค่าที่แสดงให้เห็นปัญหาส�าหรับกระบวนการดังกล่าว คือ ค่า Cpu จึงได้ว่า Cpk = Cpu และเมื่อท�าการค�านวณค่า Cpk ส�าหรับรูปอื่น จะได้ค่า Cpk ของรูปที่ 1-ก 1-ข และ 1-ค เป็น 1.33, 0.66 และ 0 ตามล�าดับ
จากการประเมินจะเห็นได้ว่า ในกรณีที่ค่าเฉลี่ยอยู่ที่จุดกึ่งกลางสเปกตามรูปที่ 1-ก จะท�าให้ค่า Cpk = Cp และเมื่อค่าเฉลี่ยเบี่ยงออกจากจุดกึ่งกลางมากเท่าไหร่ (ไม่ว่าจะเบี่ยงไปทางซ้ายหรือทางขวา) ค่า Cpk ก็จะมีค่าลดลงเรื่อยๆ จนมีค่าเป็นศูนย์เมื่อค่าเฉลี่ยมีค่าเท่ากับสเปกด้านบนหรือด้านล่าง
อย่างไรก็ตาม การประมินความสามารถด้วย Cp, Cpk นั้นจะ
เป็นการประเมนิความสามารถของกระบวนการในช่ัวขณะใดขณะหนึง่ของกระบวนการ เนื่องจากเป็นการเก็บข้อมูลในช่วงเวลาสั้น ๆ บาง-ครั้งจึงเรียกว่า การประเมินความสามารถระยะสั้น เช่น การประเมินความสามารถของเครื่องจักรหลังจากผู้ผลิตท�าการติดต้ังแล้วเสร็จ เพือ่เป็นการทดสอบว่าเครือ่งจกัรมคีวามสามารถเป็นไปตามข้อตกลงก่อนการรับมอบเครื่องจักร โดยในการประเมินจะท�าการทดลองเดินเครื่องและผลิตตัวอย่างออกมาจ�านวนหนึ่งเพื่อน�าตัวอย่างดังกล่าวมาประเมินหาค่า Cp, Cpk โดยค่าดังกล่าวจะสะท้อนถึงผลจากการที่ผู้ผลิตเครื่องออกแบบและติดตั้งเครื่องจักรว่าเป็นอย่างไร
แต่หลงัจากเริม่เดนิเครือ่งจกัรแล้ว เครือ่งจกัรหรอืกระบวนการส่วนมากจะมีการท�างานซ�้า ๆ อยู่ตลอดเวลา ซึ่งในการท�างานซ�้าๆ กันนี้ อาจจะมีบางครั้งที่ไม่สามารถท�างานได้เหมือนเดิมดังแสดงในรูปที่ 2
จากรปูที ่2 จะเหน็ได้ว่าการผลติซ�า้ในแต่ละครัง้นัน้มค่ีาเฉลีย่ไม่ตรงกัน ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากการปรับตั้งตอนเริ่มงานในแต่ละครั้งมีความแตกต่างกัน หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ เราไม่สามารถก�าหนดปัจจัยการท�างานให้เหมือนเดิมได้ทุก ๆ ครั้ง ส่งผลให้ความผันแปรโดยรวมมีค่ามากขึ้น ดังนั้น จึงได้มีการก�าหนดการประเมินผลความสามารถ
▲ รูปที่ 2 ความผันแปรในกลุ่มย่อยและความผันแปรโดยรวม
USL- x
32 - 26 6 Cpu = ⎯⎯⎯ = ⎯⎯⎯ = ⎯ = 0.66
3σ 3×3 9
x - LSL
26 - 8 18 Cpl = ⎯⎯⎯ = ⎯⎯⎯ = ⎯ = 2
3σ 3×3 9
24
⎯18
LSL USL
ครั้งที่1
ครั้งที่2
ครั้งที่3
รวม3ครั้ง
USL- x
x - LSLCpk = min Cpu, Cpl โดยที่ Cpu = ⎯⎯⎯ และ Cpl = ⎯⎯⎯
3σ 3σ
Vol.18 N
o.1
67 Septe
mber 2011
41
Production
จากจุดนี้เองท�าให้มีหลายคนเข้าใจว่า เราสามารถเก็บข้อมูลมาครั้งละจ�านวนมาก ๆ ในช่วงเวลาเดียวกันเพื่อค�านวณค่า σlt และน�าข้อมลูทัง้หมดมาแบ่งเป็นกลุม่ย่อยหลาย ๆ กลุม่ เพือ่ค�านวณหาค่า σst ซึ่งหากท�าเช่นนี้ เราจะได้ว่า ค่า σlt มีค่าเท่ากับหรือใกล้เคียงกับ σst เนื่องจากค�านวณมาจากข้อมูลภายในกลุ่มย่อยเดียวกัน
แต่การเก็บข้อมูลดังกล่าวเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากข้อมูลที่ได้มาจากกลุ่มย่อยเดียวกัน ไม่ว่าจะแบ่งข้อมูลออกเป็นกลุ่มย่อยแล้วค�านวณหรือไม่ ค่าความผันแปรที่ได้จะเป็น σst เท่านั้น ไม่สามารถน�าไปใช้เป็น σlt เพื่อประเมินความสามารถในระยะยาวได้
ดังนั้น ในการเก็บข ้อมูลเพื่อศึกษาความสามารถของกระบวนการจงึจ�าเป็นต้องท�าความเข้าใจกบักระบวนการและก�าหนดกลุม่ย่อยส�าหรบัการเกบ็ข้อมลูก่อนเสมอ เพือ่ให้ความผนัแปรภายในกลุ่มย่อยและความผันแปรโดยรวมนั้น สามารถแทนค่าของ σst และ σlt ได้อย่างถูกต้อง
มาถึงตรงนี้ ผู้อ่านคงพอเข้าใจและเริ่มมองเห็นประโยชน์ของดัชนีชี้วัดทั้ง 4 ตัวนี้แล้ว แต่การน�าดัชนีทั้ง 4 ตัวนี้ไปใช้ประเมินกระบวนการนั้นจะมีการพิจารณาอย่างไร และเท่าไหร่ถึงเรียกว่ากระบวนการที่ดีนั้น คงต้องให้ผู้อ่านติดตามกันต่อในฉบับหน้า
เอกสารอ้างอิง
กิติศักดิ์ พลอยพานิชเจริญ, หลักการควบคุมคุณภาพ: Principal of
Quality Control กรุงเทพฯ: สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น), 2550
ของกระบวนการทีร่วมเอาผลของการควบคมุกระบวนการเข้าไปด้วย และเรยีกเป็นการประเมนิความสามารถของกระบวนการในระยะยาว โดยแทนดัชนีชี้วัดความสามารถดังกล่าวเป็น Cp, Cpk และมีสูตรในการค�านวณดังนี้
จากสูตรดังกล่าว จะเห็นได้ว่าการค�านวณความสามารถของกระบวนการในระยะยาวจะเหมือนกับการค�านวณความสามารถในระยะสั้น ท�าให้หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าตัวชี้วัดทั้ง 2 นี้ เหมือนกัน แต่ที่จริงแล้วความแตกต่างจะอยู่ที่ข้อมูลที่ใช้ในการค�านวณค่า σ
เนื่องจากค่า σ ที่ใช้ในการค�านวณ Cp และ Cpk นั้นจะค�านวณมาจากข้อมูลภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน หรือจะพูดง่าย ๆ ก็คือ เป็นข้อมูลที่มาจากช่วงระยะเวลาเดียวกัน จึงมักเรียกค่าดังกล่าวเป็น σst โดยความผนัแปรทีไ่ด้จะเป็นผลมาจากการออกแบบเพยีงอย่างเดยีว ในขณะที่ค่า σ ทีใ่ช้ในการค�านวณ Pp และ Ppk นัน้จะค�านวณมาจากข้อมลูทีม่าจากคนละเงื่อนไขกันเพื่อให้ข้อมูลดังกล่าวรวมเอาความผันแปรจากการควบคุมกระบวนการเข้าไปด้วย เช่น การเก็บข้อมูลจากหลาย ๆ ชั่วโมง จากหลาย ๆ ล็อตการผลิต หรือจากหลาย ๆ วัน ขึ้นอยู่กับว่า มกีารปรบัเปลีย่นกระบวนการอย่างไร และเรยีกความผนัแปรดงักล่าวเป็น σlt ซึง่จากผลดงักล่าวจะท�าให้ค่า σlt มค่ีามากกว่าหรอืเท่ากบั σst เสมอ เนือ่งจาก σlt เป็นผลมาจากทัง้การออกแบบและการควบคมุ ในขณะที่ σst เป็นผลมาจากการออกแบบเพียงอย่างเดียว ดังแสดงใน รูปที่ 2 จากเหตุดังกล่าว ส่งผลให้ค่า Cp มีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ Pp
ในขณะที่ค่า Cpk ก็จะมีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ Ppk ด้วยเช่นกันในการประเมินความสามารถกระบวนการ เรามักจะประเมิน
ความสามารถทั้งระยะสั้นและระยะยาว ดังนั้น เราจึงเก็บข้อมูลเป็น กลุ่มย่อยหลาย ๆ กลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มจะเก็บมาจากคนละช่วงเวลา เพือ่ให้สามารถค�านวณค่า σst และ σlt ได้พร้อมกนั โดยในการค�านวณ σst นั้นจะต้องค�านวณจากข้อมูลภายในกลุ่มย่อยเดียวกัน และน�า σst ของแต่ละกลุ่มย่อยมาหาค่าเฉลี่ยอีกคร้ัง ส่วน σlt จะค�านวณโดยการน�าข้อมูลกลุ่มย่อยทั้งหมดมารวมกันเป็นข้อมูลกลุ่มเดียวกันแล้วค�านวณ ดังแสดงในรูปที่ 3
▲ รูปที่ 3 การคำานวณ σst และ σ
lt
ล็อต1
ล็อต2
ล็อต3
ล็อต4
ล็อต5
x1 1
x2 1
x3 1
x4 1
x5 1
x1 2
x2 2
x3 2
X4 2
x5 2
x1 3
x2 3
x3 3
x4 3
x5 3
σlt
x1 4
x2 4
x3 4
x4 4
x5 4
σst1
σst2
σst3
σst4
σst5
σst
USL- x
x - LSL โดยที่ Ppu = ⎯⎯⎯ และ Ppl = ⎯⎯⎯
3σ 3σ
USL- LSL
Pp = ⎯⎯⎯⎯ และ Ppk = min Ppu, Ppl
6σ
เฉลี่ย